วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

Asia Minor


Asia Minor  


 เอเชียไมเนอร์ หมายถึง ดินแดนที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณที่อยู่ระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในปัจจุบันได้แก่ ดินแดนปาเลสไตน์ ตุรกี และซีเรีย นอกจากแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ในดินแดนเมโสโปเตเมียและอียิปต์แล้ว ชนชาติเก่าแก่บางกลุ่มในเอเชียไมเนอร์และดินแดนใกล้เคียงได้มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอารยธรรมตะวันตกเช่นเดียวกัน ชนชาติสำคัญ ได้แก่ ฟินิเชียนและฮิบรู

ฟินิเชียน ชาวฟินิเชียน เป็นชนเผ่าเซเมติกเผ่าหนึ่ง มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า พวกแคนาไนต์ พวกนี้อาศัยอยู่ในดินแดนแคนาน บริเวณแถบซีเรีย ปาเลสไตน์ อารยธรรมของพวกแคนาไนต์มีรากฐานมาจากอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ ในระหว่าง 1,300 - 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชได้ถูกพสกอิสราเอลไลต์และฟิลิสติน เข้ารุกรานจนต้องสูญเสียดินแดนเกือบทั้งหมด ยกเว้นแต่บริเวณดินแดนแถบชายฝั่งทะเลแคบๆริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เรียกว่าาฟินิเชียเท่านั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกแคนาไนต์ก็มีชื่อเรียกใหม่ว่า ฟินิเชียน ชาวฟินิเชียนต้องดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่อยู่ทะเล จึงทำให้ชาวฟินเชียนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเดินทะเลและการค้าเป็นอันมาก ชาวฟินิเชียนได้สร้างเรือใบขนาดใหญ่ใช้ในการเดินทะเล และสามารถควบคุมการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้เป็นเวลาหลายร้อยปี ตลอดจนได้สร้างเมืองท่าขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น เมืองไทร์ เมืองไซดอน เมืองบีบลอส เป็นต้น นอกจากนี้ชาวฟินิเชียนยังรับสินค้าอินเดียและเมโสโปเตเมียไปขายยังอียิปต์ เอเชียไมเนอร์แอฟริกาเหนือ และชายฝั่งตะวันตกของทวีปยุโรปและยังเดินทางผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์เข้าไปสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเป็นพวกรก พ่อค้าฟินิเชียนสามารถนำเรือสินค้าไปขายกับเกาะอังกฤษ และได้นำเอาอารยธรรมตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปเผยแพร่ทางตะวันตก จัดตั้งอาณาจักรบนเกาะซิซิลี และชายฝั่งทางตอนเหนือของแอฟริกา อันได้แก่ เมืองคาร์เทจ อีกด้วย
เมื่อ ๗๕๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกอัสซีเรียนได้เข้ายึดครองดินแดนที่สำคัญๆของพวกฟินิเชียนได้เกือบทั้งหมดยกเว้นแต่เมืองคาร์เทจซึ่งเจริญรุ่งเรืองต่อมาจนถูกชาวโรมันทำลายใน ๑๔๖ ปีก่อนคริสต์ศักราชเนื่องจากชาวฟินิเชียนได้เดินทางไปค้าขายในดินแดนต่างๆจึงรับเอาวัฒนธรรมตัวหนังสือจากที่ต่างๆมาปรับปรุงสร้างรูปตัวหนังสือขึ้นใหม่ เมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ - ๙๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกฟินิเชียนได้ดัดแปลงแก้ใขอักษรเฮียราติก ของอียิปต์ และอักษรลิ่มหรือคูนิฟอร์มของชาวสุเมเรียน มาเป็นอักษรอัลฟาเบต ซึ่งสะดวกในการบันทึกเรื่องราวต่างๆบัญชีการค้า และอื่นๆอักษรอัลฟาเบตของฟินิเชียนเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วไป และชาติต่างๆ ได้นำไปดัดแปลงเป็นตัวหนังสือของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษากรีกและละตินอักษรของฟินิเชียนจึงเป็นต้นตระกูลตัวอักษรอัลฟาเบตของชาติตะวันตกและตะวันออก ชาวกรีกได้ปรับปรุงตัวหนังสือของฟินิเชียนให้สวยงามขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นในการเขียนและอ่าน โดยเพิ่มสระขึ้นในภายหลัง
ฮีบรู พวกฮิบรูหรือยิว เป็นชนเผ่าเซมิติกที่เดินทางเร่ร่อนในทะเลทราย เมื่อประมาณ ๑,๔๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้อพยพเข้าไปอยู่ในอียิปต์ และถูกจับเป็นทาส กล่วกันว่า โมเลส ผู้นำคนสำคัญได้ปลดแอกชาวฮิบรูจากการเป็นทาสของอียปต์และพาฮิบรูทั้งหมดอพยพไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งคำมั่นสัญญา อันได้แก่ ดินแดนปาเลสไตน์ หรือแคนานที่เชื่อกันว่าเป็นดินแดนที่พระเจ้าของบรรพบุรุษอับราฮัม หรือ พระยะโฮวา ทรงประทานให้ ต่อมาได้สถาปนาเป็นอาณาจักรมีนครหลวงอยู่ที่เยรูซาเลม และขยายเป็นจักรวรรดิอิสราเอลแต่ก็ไม่สามารถจะรักษาความเป็นปึกแผ่นไว้ได้นาน เกิดแตกแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ อาณาจักรอิสราเอลทางตอนเหนือและจูดาห์ทางใต้ ต่อมาอาณาจักรอิสราเอลทางตอนเหนือถูกทำลายโดยพวกอัสซีเรียนและจูดาห์ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ของพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ประชาชนถูกกวาดต้อนไปอยู่บาบิโลเนียใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามว่า การคุมขังแห่งบาบิโลเนีย ในเวลาต่อมาพวกฮิบรูก็ตกอยู่ใต้การปกครองของเปอร์เซีย กรีก โรมัน แต่ใน ค.ศ.70พวกฮิบรูเป็นกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน และดินแดนปาเลสไตน์ได้ถูกทหารโรมันเข้าทำลาย ชาวฮิบรูจึงกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และไม่มีดินแดนเป็นของตัวเอง จนกระทั่งเมื่อสงครามโลกครั้งที่2สิ้นสุดลง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงจัดตั้งประเทศอิสราเอลของชาวฮิบรูขึ้นเป็นประเทศอิสระ มรดกสำคัญที่ชาวฮิบรูมอบไว้ให้อารยธรรมตะวันตก คือ ศาสนา ศาสนาของชาวฮิบรูเรียกว่า ศาสนายูดาย เป็นศาสนาที่เน้นการบูชาพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งได้แก่ พระยะโฮวา ความผูกพันระหว่างพระยะโฮวาและชาวฮิบรูได้รับการบันทึกไว้ในพันธสัญญาเดิมหรือพระคัมภีร์เก่า ซึ่งถือกันว่าเป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องให้ความเคารพปฏิบัติตามการนับถือพระเจ้าองค์เดียวของชาวฮิบรูเป็นต้นกำเนิดของศาสนาที่สำคัญของโลก คือ ศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม ซึ่งศาสนาทั้งสามดังกล่าวนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างอารยธรรมของโลกตะวันออก พระคัมภีร์ของชาวฮิบรูให้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาวฮิบรูและชนชาติโบราณอื่นๆที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ในยุคโบราณ ชนชาติโบราณ ขนบธรรมเนียม กฎ ข้อบังคับ และได้รับการแปลเป็นภาษากรีก ภาษาละติน ตลอดจนภาษาท้องถิ่นของโลกตะวันตกและโลกตะวันออกทุกภาษา อาจกล่าวได้ว่า พระคัมภีร์ของพวกฮิบรูเป็นวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง และเป็นผลงานที่ส่งเสริมความเจริญของอารยธรรมตะวันตก ทั้งในด้านภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ และ ทัศนคติในการครองชีพมากที่สุด





   ชนชาติเก่าแก่บางกลุ่มในดินแดนเอเชียไมเนอร์และดินแดนใกล้เคียง





       เอเชียไมเนอร์ หรือ อนาโตเลีย  หมายถึง "อาทิตย์อุทัย" หรือ "ตะวันออก" เป็นดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย
       เนื่องจากที่ตั้งของดินแดนนี้เชื่อมต่อระหว่างยุโรปและเอเชีย อานาโตเลียจึงเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอันหลากหลาย มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ โดยการตั้งถิ่นฐานของชุมชนยุคหินใหม่  ชนชาติที่สำคัญได้แก่ ฟินิเซียนและฮีบรู

ฟินิเซียน
คือ ชื่อที่พวกชาวกรีกใช้เรียกพวกแคนาไนต์ ที่อาศัยอยู่ทางริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนปัจจุบันคือ ประเทศเลบานอน   พวกฟินิเซียน  อพยพมาจากบริเวณทะเลทราย  อาราเบียมาอยู่บริเวณเทือกเขาเลบานอนเนื่องจากภูเขาเลบานอนกั้นการติดต่อทางด้านตะวันออก   พวกฟินิเซียนจึงหันออกทางทะเล และกลายเป็นพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เป็นนักต่อเรือ  นักเดินเรือ และ นักล่าอาณานิคมถึงแม้ว่าพวกฟินิเซียนจะต้องออกไปทำการค้าขาย ดังกล่าวแล้วพวกนี้ก็ได้สร้างเมืองที่อยู่ของตนที่สำคัญคือ ไทร์  ไซดอน และไบบลอสนอกจากนั้นยังผลิตสินค้าหัตถกรรมด้วย สินค้าส่งออกที่สำคัญ คือ  ผ้าขนสัตว์ย้อมสีม่วงจากเปลือกหอยชนิดหนึ่งที่มีอยู่ตามชายฝั่งทะเล เป็นช่างประดิษฐ์เฟอร์นิเจอร์ (ทำจากไม้ซีตาร์ในเลบานอน)  เครื่องเหล็ก เครื่องแก้ว และเพชร



                                                   
อักษรฟินิเชียน   พัฒนามาจากอักษรคานาอันไนต์ยุคแรกเริ่ม มีอักษร 22 ตัว  ไม่มีเครื่องหมายสระ  ชื่อตัวอักษรเหมือนที่ใช้เรียก อักษรฮีบรู

อาณาจักรฮิบรู (The Hebrew Kingdom)  

     หลังจากอพยพเข้าไปอยู่ในอียิปต์และถูกจับเป็นทาส กล่าวกันว่าโมเสส(Moses)ได้ทำการปลดปล่อยพวกฮิบรูเป็นอิสระและอพยพไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนปาเลสไตน์ หรือ กันอาน  เชื่อกันว่าเป็นดินแดนที่พระเจ้าของบรรพบุรุษอับราฮัม หรือ พระยะโฮวา ทรงประทานให้
ต่อมาได้สถาปนาเป็นอาณาจักรมีนครหลวงอยู่ที่เยรูซาเลม และขยายเป็นจักรวรรดิอิสราเอล  แต่ก็เกิดแตกแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ อาณาจักรอิสราเอลทางตอนเหนือและยูดาห์ทางใต้อาณาจักรอิสราเอลทางตอนเหนือถูกทำลาย  โดยพวกอัสซีเรียนและยูดาห์   จึงตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ของพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ประชาชนถูกกวาดต้อนไปอยู่บาบิโลเนียใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามว่า การคุมขังแห่งบาบิโลเนีย  
แต่พวกฮิบรูที่เป็นกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน และดินแดนปาเลสไตน์ได้ถูกทหารโรมันเข้าทำลาย ชาวฮิบรูจึงกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และไม่มีดินแดนเป็นของตัวเอง   จนกระทั่งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2สิ้นสุดลง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงจัดตั้งประเทศอิสราเอลของชาวฮิบรูขึ้นเป็นประเทศอิสระศาสนาของชาวฮีบรู เรียกว่า ศาสนายูดาย หรือยิว  เน้นการบูชาเทพเจ้าองค์เดียว คือ พระยะโฮวา การนับถือพระเจ้าองค์เดียวเป็นต้นกำเนิดของศาสนาที่สำคัญ คือ ศาสนายิว   คริสต์  และอิสลาม



อารยธรรมในกลุ่มเอเชียไมเนอร์






ลักษณะทางภูมิศาสตร์


เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (South West Asia) หมายถึง ดินแดนที่อยู่ระหว่างทะเลทั้งห้า คือ ทะเลสาบแคสเปียน ทะเลดำ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลอาหรับ และทะเลแดง ในสมัยกรีกโรมันดินแดนนี้เดิมเรียกว่าเอเชียไมเนอร์ หมายถึง ประเทศตุรกี
ตะวันออกใกล้ หมายถึง ดินแดนทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  คาบสมุทรอาหรับและคาบสมุทรบอลข่าน
ตะวันออกกลาง หมายถึง เอเชียตะวันตกเฉียงใต้กับประเทศอียิปต์
ดินแดนในภูมิภาคนี้มีความเจริญทางอารยธรรมอย่างมากเช่น ในกลุ่มอารายธรรมลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส ภูมิภาคนี้มีพื้นที่ประมาณ 6,835,434 ตารางกิโลเมตร มีศาสนาที่สำคัญคือศาสนาอิสลาม ศาสนายูดายของอิสราเอล และมีนับถือศาสนาคริสต์ในไซปรัส ปัจจุบันภูมิภาคนี้ยังคงมีความแตกแยกกันในเรื่องเชื้อชาติและศาสนาบางประเทศอาจถูกจัดให้อยู่ในทวีปยุโรปแทนเนื่องจากมีลักษณะทางวัฒนธรรมจากทวีปยุโรปมากกว่า ได้แก่ ตุรกี ไซปรัส อาร์เมเนีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน
ที่ตั้ง อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับทะเลดำ ทะเลสาบแคสเปียนและประเทศสาธารณารัฐเติร์กเมนิสถาน
ทิศตะวันออก ติดต่อกับปากีสถานและทะเลอาหรับ
ทิศใต้ ติดต่อกับทะเลอาหรับและทะเลแดง
ทิศตะวันตก ติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ขนาดพื้นที่ มีพื้นที่6.8ล้านตารางกิโลเมตรประกอบด้วย 16 ประเทศ ได้แก่ บาห์เรน กาตาร์ คูเวต อิสราเอล จอร์แดน ไซปรัส เยเมน สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ซัเรีย เลบานอน โอมาน อิหร่าน อัฟกานิสถาน ตุรกี ซาอุดีอาระเบีย
ชนชาติเก่าแก่บางกลุ่มในเอเชียไมเนอร์
ชนชาติเก่าแก่บางกลุ่มในเอเชียไมเนอร์ได้มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอารยธรรมตะวันตก อารยธรรมที่สำคัญ ดังกล่าวนี้ได้แก่
1.             ฟินีเชียน (Phenician)
2.             ฮีบรู (Hebrew)
3.             เปอร์เซีย(Persian)





 ฟินิเซียน
ชาวฟินิเซียน เป็นชนเผ่าเซเมติกเผ่าหนึ่ง มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า พวกแคนาไนต์ พวกนี้อาศัยอยู่ในบริเวณดินแดนแคนาน บริเวณแถบซีเรีย ปาเลสไตน์ อารยะรรมของพวกแคนาไนต์มีรากฐานมาจากอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ชาวฟินิ เซียนต้องดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่อยู่กับทะเล จึงทำให้ชาวฟีนิเซียนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเดินทะเลและการค้าเป็นอันมาก ชาวฟินิเซียนได้สร้างเรือใบขนาดใหญ่ใช้ในการเดินทะเล และสามารถควบคุมการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้เป็นเวลาหลายร้อยปี ตลอดจนได้สร้างเมืองท่าขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น เมืองไทร์ เมืองไซดอน เมืองบีบลอส เป็นต้น เมื่อ750 ปีก่อนคริศต์ศักราช พวกอัสซีเรียนได้เข้ายึดครองดินแดนที่สำคัญๆ ของพวกฟินิเซียนได้เกือบทั้งหมด ชาวฟินิเซียนได้เดินทางไปค้าขายในดินแดนต่างๆ จึงรับเอาวัฒนธรรมตัวหนังสือจากที่ต่างๆ มาปรับปรุงสร้างรูปตัวหนังสือขึ้นใหม่ เมื่อประมาณ 1,00-900 ปีก่อนคริศต์ศักราช พวกฟินิเซียนได้ดัดแปลงแก้ไขอักษรของชาวสุเมเรียน มาเป็นอักษรอัลฟาเบต ซึ่งสะดวกในการบันทึกเร่องราวต่างๆ

ฮีบรู


 
พวกฮีบรู หรือ ยิว เป็นชนเผ่าเซมิติกที่เดินทางเร่ร่อนในทะเลทราย ไม่มีดินแดนเป็นของตนเอง จนกระทั่งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงจัดตั้งประเทศอิสราเอลของชาวฮีบรูขึ้นเป็นประเทศ อิสระ มรดกสำคัญที่ชาวฮีบรูมอบไว้ให้อารยธรรมตะวันตก คือ ศาสนา ศาสนาของชาวฮีบรูเรียกว่า “ศาสนายูดาย” เป็นศาสนาที่เน้นการบูชาพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งได้แก่ “พระยะโฮวา” ความพูกพันธ์ระหว่างพระยะโฮวาและชาวฮีบรูได้รับการบันทึกไว้ในพันธ์สัญญา เดิมหรือพระคัมภีร์เก่า ซึ่งถือกันว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องให้ความเคารพปฏิบัติตาม การนับถือพระเจ้าองค์เดียวของชาวฮีบรูเป็นต้นกำเนิดที่สำคัญของโลก คือ ศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม ซึ่งศาสนาทั้งสามดังกล่าวนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างอารยธรรมของโลก ตะวันตกและตะวันออก


 ชาวเปอร์เซียน

ชาวเปอร์เซียนเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนเดิมอาศัยอยู่ทางเหนือของทะเลดำครั้นถึงปีที่ 1,200BC.จึงอพยพสู่ที่ราบสูงอิหร่านระยะแรกถูกปกครองโดยชาวมิเดสต่อมาพระเจ้าไซรัสได้สถาปนาอาณาจักรเปอร์เซียขึ้นในปี 549BC. แล้วขยายอำนาจครอบคลุมตั้งแต่อินเดียถึงปาเลสไตน์ เมโสโปเตเมีย ลิเดีย ซีเรียและอียิปต์ ในสมัยพระเจ้าดาริอุสจักรวรรดิเปอร์เซียปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ศิลปะและศาสนาของชาวเปอร์เซียน
ศิลปะเปอร์เซียเกิดจากการผสมผสานอย่างหลากหลาย หลักฐานสำคัญคือพระราชวังเปอร์ซิโพลิสมีเสาหินสูงเพรียวอ่อนช้อย ทำหัวเสาเป็นรูปสิงโตหรือวัวอย่างกลมกลืนกับโครงสร้าง มีหินเป็นวัสดุก่อสร้างในเอเชียไมเนอร์และเมโสโปเตเมียนยมใช้อิฐ

ชาวเปอร์เซียนนับถือาสนาโซโรแอสเตอร์เรียกอีกอย่างว่าลัทธิบูชาไฟ ศาสดาชื่อโซโรแอสเตอร์นับถือพระเจ้าองค์เดียวคืออาหุรา มาสดา เทพแห่งความดีหรือเทพแห่งแสงสว่าง ชาวเปอร์เซียมีหน้าที่ช่วยเทพแห่งความดีต่อสู้กับอาหริมานหรือซาตานแห่งความชั่ว



อารยธรรมในเอเชียไมเนอร์และแอฟริกาเหนือ

รากเหง้าความเจริญของอารยธรรมตะวันตกในเเอฟริกาเหนือเเละเอเชียไมเนอร์ ก่อต่อขึ้นเมื่อประมาณ 4,000  BC.  ในพื่นที่สำคัญ 2 ภูมืภาค คือ ดินเเดนเเมโสโปดตเมีย (Mesopotemia)  ในลุ่มเเมน้ำไทกริส-ยูเฟติส ในเอเชียไมเนอร์ (หรือตะวันออกกลาง) เเละที่อาณาจักรอียิปต์เเห่งลุ่มน้ำไนล์ ในเเอฟริกาเหนือ

ศิลปวัฒนธรรมในดินเเดนเมโสโปเตเมีย





เมโสโปเตเมีย(Mesopotamia) หรือ  "ดินแดนระหว่างแม่น้ำแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีสดินแดนดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์"  ได้ชื่อว่าดินเเดนเเห่งศิลปวัฒนธรรมที่มีอายุเก่าเเก่ที่สุดในโลก
          คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวสุเมเรียน อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนขึ้นเป็นพื้นฐานสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยกรรม ตัวอักษร ศิลปกรรมอื่น ๆ ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณกลุ่มชนต่างๆที่เคยมีอำนาจเเละสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมเหนือดินเเดนเมโสโปเตเมีย ได้เเก่

ชาวสุเมเรียน
ชาวอัคคาเดีย (Akkadians)
ชาวอมอไรต์ (Amorites)
ชาวแอสซีเรียน (Assyrian)







ชาวสุเมเรียน เป็นคนกลุ่มแรกที่มีอำนาจครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมียในบริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีส ( Tigris – Euphrates)   ปัจจุบันคือ  ประเทศอิรัก เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดอารยธรรมในแถบลุ่มแม่น้ำไทกริส– ยูเฟรทีส  มีการปกครองแบบนครรัฐ
สภาพภูมิอากาศ     แบบกึ่งทะเลทรายไม่เอื้อต่อการตั้งถิ่นฐาน เพราะเป็นดินแดนแห่งความขัดแย้งทางธรรมชาติเกิดอากาศวิปริตแปรปรวนอยู่เสมอ สภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย จึงมีผลให้พวกเมโสโปเตเมียมองโลกในแง่ร้าย เห็นตัวเองเป็นทาสของพระเจ้า   สังคมของชาวสุเมเรียนจึงยกย่องเกรงกลัวเทพเจ้าและถือเป็นหน้าที่หลักของทุกคนที่ต้องรับใช้เทพเจ้า      ความเชื่อดังกล่าวมีผลให้วัฒนธรรมสุเมเรียนเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา  ชาวสุเมเรียนนิยมสร้างวัดขนาดใหญ่  เรียกว่า    ซิกกูแรต ( Ziggurat )    เพื่อบูชาเทพเจ้า เป็น สถาปัตยกรรมคล้ายภูเขาขนาดใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ที่ประทับของเทพเจ้าต่าง ๆ  สร้างด้วยอิฐตากแห้ง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่แวดล้อมด้วยบ้านเรือนและกำแพงเมือง
การปกครองและสภาพสังคมสุเมเรียน
ชาวสุเมเรียนทุกคนเชื่อเรื่องการยกย่องและยำเกรงพระเจ้า มีหน้าที่ต้องซื่อสัตย์และรับใช้พระเจ้า เพื่อเป็นหลักประกันให้ได้รับความเมตตาจากพระองค์
หลักฐานทางวัฒนธรรมของชาวสุเมเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับศาสนา พวกเขามักสร้างศาสนสถานด้วยอิฐตากแห้ง ลักษณะคล้ายภูเขาขนาดใหญ่กลางเมืองเพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้า เรียกว่า ซิกเกอแรต (Ziggurat) ชาวสุเมเรียนไม่นิยมสร้างพระราชวังขนาดใหญ่


                                                              ซิกเกอร์แรตแห่งเออร์
นักบวชเป็นชนชั้นสูงสุดในอาณาจักรสุเมเรียน ระยะแรก ปกครองโดยสภาของผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะ ระยะหลังปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

การประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์มและความเจริญ
ชาวสุเมเรียนเป็นชนกลุ่มแรกที่รู้จักประดิษฐ์ลายลักษณ์อักษรเรียกว่า อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรลิ่ม มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก  วรรณกรรมสำคัญของชาวสุเมเรียนคือ มหากาพย์กิลกามิช เป็นเรื่องการผจญภัยของวีรบุรุษที่แสวงหาชีวิตอมตะ ได้แนวความคิดเรื่องน้ำท่วมโลก ผู้คิดค้นหลักการอ่านอักษรคูนิฟอร์มคือ จี.เอฟ.กรอทเฟนด์


                                     


                                                    ภาพการพัฒนาอักษรคูนิฟอร์ม

ความเสื่อมของอาณาจักรสุเมเรียน
ในช่วง 2,370 B.C. กษัตริย์ซาร์กอนแห่งอาณาจักรอัคคัด(เซมิติก) ได้รวบรวมเมืองในลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติสเข้าด้วยกัน เรียกว่า อาณาจักรอัคเคเดียน ปี (1,799-1,750 B.C.) ชาวอะมอไรต์ ซึ่งเป็นชนเผ่าเซมิติกภายใต้การนำของพระเจ้าฮัมมูราบีจากทะเลทรายอาระเบียก็ยึดครองดินแดนเมโสโปเมียและตั้งอาณาจักรบาบิโลเนียขึ้น
มีประมวลกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรของพระเจ้าฮัมมูราบี ยึดหลักการแบบตาต่อตาฟันต่อฟันในการลงโทษ

                                 



                                                   แผ่นหินจารึกประมวลกฎหมาย ฮัมมูราบี      
         

จักรวรรดิอัสซีเรีย
มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนิเนเวห์ ปกครองราษฎรด้วยวิธีการกดขี่ขูดรีดภาษีและโยกย้ายชาวเมืองดั้งเดิมออกไปจากถิ่นฐาน



                                        สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน  (The Hanging Garden of  Badilon)



อาณาจักรบาบิโลเนีย (Babylonia)



ชาวบาบิโลเนีย ของชาวอะมอไรต์  อารยธรรมที่บาบิโลเนียได้พัฒนามาจากอารยธรรมของชาวสุเมเรียน ซึ่งมีความเจริญมาก่อนเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว  อาทิ ประมวลกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรของพระเจ้าฮัมมูราบี ซึ่งยึดหลักเเบบตาต่อตาฟันต่อฟันในการลงโทษ การปกครองของบาบิโลเนียมีลักษณะเเบบศูนย์รวมอำจ  ประมาณ1,200 BC.  อาณาจักรบาบิโลเนีย ถูกชาวคัสไซต์เเห่งเทอกเขาซากรอสเข้ายึดครองนาน 400 ปี ก่อนจะถูกชาวอัสซีเรียนเข้ามาปกครองเเทนที่
อาณาจักรคาลเดีย  ( Chaidea ) หรือบาบิโลเนียใหม่
อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์  สามารถยกทัพไปพิชิตเมืองเยรูซาเลม  และกวาดต้อนเชลยชาวยิวมายังกรงุบาลิโลน มีสร้างพระราชวังและวิหารขนาดใหญ่บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรทีส  และเหนือพระราชวังมีการสร้างสวนขนาดใหญ่ เรียกว่า สวนลอยแห่งบาบิโลเนีย  ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณเพราะสามารถใช้ความรู้ทางชลประทาน ทำให้สวนลอยเขียวขจีตลอดทั้งปี มีความรู้ด้านดาราศาสตร์ มีการแบ่งสัปดาห์ออกเป็น 7  วัน      แบ่งวันออกเป็น 12   คาบ   คาบละ 120   นาที สามารถคำนวณเวลาโคจรของดวงอาทิตย์ในรอบปีอย่างถูกต้อง  พยากรณ์สุริยุปราคา  ชาวคาลเดียนเป็นชาติแรกที่ริเริ่มนำเอาความรู้ทางดาราศาสตร์มาทำนายโชคชะตาของมนุษย์ ต่อมาอาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ถูกกองทัพเปอร์เซียโดยการนำของพระเจ้าไซรัสมหาราช เข้ายึดครองและผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซีย



ศิลปวัฒนธรรมในลุ่มเเม่น้ำไนล์
อาณาจักรอียิปต์เป็นอาณาจักรที่มีการเริ่มต้นเเละสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมได้ยาวนานเเละมีเอกภาพหลายพันปี เนื่องจากมีความเหมาะสมทางด้านของที่ตั้งอันอุดมสมบูรณ์เเละมีปราการธรรมชาติมั่งคง  ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าหลายองต์ ชาวอียิปต์เชื่อว่า เทพเจ้าเป็นผู้เมตตาเเละยกย่องฟาโรห์เสมอเทพเจ้า คำสั่งของฟาโรห์จึงศักดิ์สิทธิ์เเละถือเป็นกฎหมาย ชาวอียิปต์นิยมสร้างปิรามิด เพื่อบรรจุศพเจ้านายเเละขุนนาง เนื่องจากเรื่องการฟื้นคืนชีพเเละชีวิตอมตะ ปิรามิดสำคัญคือ The Great Pyramid of Giza  อุทิศเเด่ฟาโรห์คีออปส์ สูง 150 เมตร
ความเจริญด้านอักษรศาสตร์ของอียิปต์  ชาวอียิปต์ประดิษฐ์อักษรภาพเรียกว่า อักษรไก่เขี่ย หรืออักษรเฮีโรกลิฟฟิก เพื่อบันทึกเรื่องราวของศาสนาเเละวิทยาการ

ศาสนาและความเชื่อของชาวอียิปต์
ชาวอียิปต์เชื่อว่าเทพเจ้าเป็นผู้มีเมตตาและยกย่องฟาโรห์เสมอเทพเจ้าฟาโรห์จึงศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นกฏหมาย นิยมสร้างปิรามิด ปิรามิดที่สำคัญคือ The Great Pyramid of Gizeh อุทิศแด่ฟาโรห์คีออปส์ มีรูปสิงโตหน้าคนที่เรียกว่า Sphinx



มหาปิรามิดที่เมืองกีเวห์ องค์ซ้ายอุทิศแด่ฟาโรห์ไมเซรินัส 2,575 ปี B.C. องค์กลางอุทิศแด่ฟาโรห์คีออฟ 2,650 ปี B.C. องค์อุทิศแด่ฟาโรห์เชเฟรน 2,600 ปี B.C.

                                                                              Sphinx

ความเจริญด้านอักษรศาสตร์ของอียิปต์
ชาวอียิปต์ประดิษฐ์อักษรภาพเรียกว่าอักษรไก่เขี่ยหรืออักษรเฮียโรกลิฟิก เพื่อบันทึกเรื่องราวทางศาสนาโดยเขียนบนกระดาษปาปิรุส อักษรไก่เขี่ยพัฒนาเป็นอักษรเฮียราติกฌองฟรองซัวร์ ชองโปลิยอง เป็นผู้อ่านอักษรเฮียโรกลิฟิกจากจารึกบนแผ่นหินโรเซ็ทตา เมื่อค.ศ.1882








                                                       ตัวอักษรเฮียโรกลิฟิก(Hieroglyphic)




                                    คัมภีร์มรณะ แสดงให้เห็นอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิก
                                                        อักษรแห่งอียิปต์โบราณ


ชาวฟีนิเชียน
ชาวฟีนิเชียนเป็นชนเผ่าเซมิติก เดิมเรียกว่าพวก Canaanitesอาศัยอยู่บริเวณคะนาอันเมื่อประมาณ 2,000 BC. มีรากฐานมาจากดินแดนเมโสโปเตเมียและอียิปต์ สภาพแวดล้อมริมฝั่งทะเลทำให้ชาวฟีนิเชียนเชี่ยวชาญการเดินเรือและการค้า พ่อค้าชาวฟีนิเชียนเดินเรือนำอารยธรรมมาจากตะวันออกไปยังแดนต่างๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติกและอังกฤษเป็นพวกแรก สามารถตั้งอาณานิคมบนเกาะซิซิลีและเมืองคาร์เทจทางเหนือของแอฟริกา ในช่วงปี 750 BC.ชาวแอสซีเรียนได้ยึดครองดินแดนของชาวฟีนิเชียน เกือบหมดเหลือเมืองคาร์เทจเท่านั้น ในปี146BC. เมืองคาร์เทจก็ถูกทำลายโดยจักวรรดิโรมัน

ชาวฮิบรู
ชาวฮิบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย เมื่อประมาณ 1,400BC.ชนเผ่านี้มีโมเสสเป็นผู้นำในการปลดแอกจากการเป็นทาสขงอียิปต์
ในสมัยพระเจ้าเดวิดชาวฮิบรูก่อตั้งอาณาจักรอิสราเอลขึ้นเป็นครั้งแรก ในสมัยพระเจ้าโซโลมอนอาณาจักรอิสราเอลสามารถขยายตัวเป็นจักรวรรดิ แต่ไม่นานก็แตกแยกเป็นอาณาจักรอิสราเอลทางทิศเหนือและอาณาจักรจูดาร์ทางทิศใต้ และในที่สุดอาณาจักรอิสราเอลก็ถูกทำลายโดยชาวแอสซีเรียน การพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้ชาวฮิบรูถูกกวาดต้อนไปยังบาบิโลเนียใหม่ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “The Babylonian Captivity” จากนั้นชาวฮิบรูก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซีย กรีก โรมันตามลำดับ
ในปีค.ศ.70ชาวฮิบรูก่อการกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน ทำให้ดินแดนปาเลสไตน์ถูกทหารโรมันทำลายชาวฮิบรูกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อน
ศาสนายูดาย เป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ พระยะโฮวา ทรงเลือกชาวฮิบรูเป็นประชาชนของพระองค์ พระคัมภีร์เก่าของศาสนายูดาย ระบุถึงกำเนิดของศาสนายูดาย

ชาวเปอร์เซียน
ชาวเปอร์เซียนเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนเดิมอาศัยอยู่ทางเหนือของทะเลดำครั้นถึงปีที่ 1,200BC.จึงอพยพสู่ที่ราบสูงอิหร่านระยะแรกถูกปกครองโดยชาวมิเดสต่อมาพระเจ้าไซรัสได้สถาปนาอาณาจักรเปอร์เซียขึ้นในปี 549BC. แล้วขยายอำนาจครอบคลุมตั้งแต่อินเดียถึงปาเลสไตน์ เมโสโปเตเมีย ลิเดีย ซีเรียและอียิปต์ ในสมัยพระเจ้าดาริอุสจักรวรรดิเปอร์เซียปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ศิลปะและศาสนาของชาวเปอร์เซียน
ศิลปะเปอร์เซียเกิดจากการผสมผสานอย่างหลากหลาย หลักฐานสำคัญคือพระราชวังเปอร์ซิโพลิสมีเสาหินสูงเพรียวอ่อนช้อย ทำหัวเสาเป็นรูปสิงโตหรือวัวอย่างกลมกลืนกับโครงสร้าง มีหินเป็นวัสดุก่อสร้างในเอเชียไมเนอร์และเมโสโปเตเมียนยมใช้อิฐ
ชาวเปอร์เซียนนับถือาสนาโซโรแอสเตอร์เรียกอีกอย่างว่าลัทธิบูชาไฟ ศาสดาชื่อโซโรแอสเตอร์นับถือพระเจ้าองค์เดียวคืออาหุรา มาสดา เทพแห่งความดีหรือเทพแห่งแสงสว่าง ชาวเปอร์เซียมีหน้าที่ช่วยเทพแห่งความดีต่อสู้กับอาหริมานหรือซาตานแห่งความชั่ว






 

 


ขอขอบคุณข้อมูล

Asia Minor   (ม ป ป ) 

จากเว็บไซต์   http://www.youtube.com/watch?v=TKTNMxCtyEM     
  (วันที่ค้นข้อมูล 3  กันยายน  2556 )


จากเว็บไซต์     http://rossesgroup2.blogspot.com/2012/03/2.html           
  (วันที่ค้นข้อมูล 3  กันยายน  2556 )


จากเว็บไซต์ http://kunanyazii.blogspot.com/2011/02/v-behaviorurldefaultvmlo.html  
  (วันที่ค้นข้อมูล 3  กันยายน  2556 )

จากเว็บไซต์   http://writer.dek-d.com/abjmp-social/story/viewlongc.php?id=773121&chapter=14    
  (วันที่ค้นข้อมูล 3  กันยายน  2556 )

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากครับที่เมตตาเผยแพร่ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าครับผม ชอบศึกษาและชอบอ่านประวัติศาสตร์มากครับ

    ตอบลบ