วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

สาระน่ารู้การเขียนรายงานที่ดี

การเขียนรายงานที่ดี


ความหมายของรายงาน

     รายงาน  คือ  การเขียนเล่าถึงสิ่งที่ได้พบเห็นหรือได้กระทำมาแล้ว   เช่น  การค้นคว้า ทางวิชาการ  การไปศึกษานอกสถานที่  การไปพักแรมค่ายเยาวชน  การประชุมกลุ่ม  การประสบเหตุการณ์ที่สำคัญ  เป็นต้นลักษณะของรายงานคล้ายย่อความ คือเก็บเฉพาะข้อความสำคัญแต่อาจ เพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่างได้ตามสมควร แบบการเขียนรายงานไม่มีข้อกำหนดตายตัว  เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย  อาจกำหนดตามแบบของแต่ละสถาบัน

ส่วนต่าง ๆ ของรายงาน  มี  3  ส่วน  ดังนี้

        1.  ส่วนหน้า  ประกอบด้วย  หน้าปก  ใบรองปกหน้า  (กระดาษเปล่า)  หน้าปกใน หน้าคำนำ  หน้าสารบัญ
        2.  ส่วนกลาง  ประกอบด้วย  เนื้อเรื่อง  เชิงอรรถ
        3.  ส่วนท้าย  ประกอบด้วย  บรรณานุกรม  ภาคผนวก  ใบรองปกหลัง (กระดาษเปล่า)  ปกหลัง

 การเขียนส่วนต่าง ๆ ของรายงานแต่ละส่วน

        1.  การเขียนปกรายงานและการเขียนหน้าปกใ 
             1.1  การเขียนปก  ให้เขียนชื่อเรื่อง  และผู้เขียนรายงาน  กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องใส่คำว่า  ชื่อเรื่อง  และผู้เขียนรายงาน 
             1.2  การเขียนหน้าปกในให้เขียนโดยแบ่งเป็น  3  ส่วน  ดังนี้
                    ส่วนบน  ให้เว้นระยะ  2  นิ้ว  จากขอบกระดาษบนถึงบรรทัดแรกของรายงาน และเขียน ชื่อเรื่องของรายงาน  ใส่เฉพาะชื่อเรื่องที่เขียนรายงาน  ไม่ต้องใส่คำว่า  ชื่อเรื่อง  
                    ส่วนกลาง  เว้นจากส่วนบนลงมาประมาณ  2  บรรทัดใส่คำว่าโดย  และชื่อผู้เขียนรายงาน ไม่ต้องใส่คำว่า  ผู้เขียนรายงาน
                    ส่วนล่าง  ให้เว้นระยะ  1  นิ้ว  จากขอบกระดาษล่างถึงบรรทัดสุดท้ายของส่วนล่าง บรรทัดแรกของส่วนล่างระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาใด ชั้นอะไร ภาคเรียนที่เท่าใด ปีการศึกษาใด  ใครเป็นครูผู้สอน


     

        2.  การเขียนคำนำ
             การเขียน “คำนำ” อยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน  2  นิ้ว ผู้เขียนรายงานจะระบุวัตถุประสงค์ ขอบเขตของเนื้อเรื่อง   หรือแนวการค้นคว้า   และคำขอบคุณผู้มีส่วนช่วยเหลือให้ การค้นคว้ารวบรวม และเรียบเรียงรายงานนั้นให้สำเร็จลงด้วยดี เมื่อหมดข้อความแล้วลงชื่อผู้เขียน วัน  เดือน ปี  ที่เขียน  ถ้าเป็นรายงานกลุ่มเขียนคำว่า คณะผู้จัดทำ หน้าคำนำมักนิยมใส่เลขหน้าในวงเล็บไว้ด้านล่าง



        3.  การเขียนสารบัญ
             การเขียน  “สารบัญ”  ผู้เขียนรายงานจะแบ่งเป็นบท  เป็นตอนระบุเนื้อเรื่องที่ปรากฏในรายงาน เรียงตามลำดับ การเว้นระยะในการเขียนจะอยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน  2  นิ้ว  และข้อความในสารบัญ จะอยู่ห่างจากริมซ้ายของกระดาษเข้าไป  1.1 นิ้ว  เริ่มตั้งแต่ คำนำ  บท  และ ชื่อของบท จนถึงส่วนท้าย คือบรรณานุกรม และภาคผนวก เลขหน้าทางด้านขวามือจะอยู่ห่างจากขอบขวาของกระดาษ 1.1 นิ้ว ผู้เขียนรายงานต้องทำรายงานเรียบร้อยแล้วจึงจะระบุเลขหน้าได้ว่า บทใด  ตอนใด  อยู่หน้าใด

การนำบัตรข้อมูลที่บันทึกตามโครงเรื่องมาเขียนเนื้อหาของรายงาน

        การเขียนเนื้อเรื่อง  เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด   เพราะผลการค้นคว้ารวบรวมทั้งหมดที่บันทึก ลงในบัตรบันทึกข้อมูลจะนำมาเรียบเรียงไว้ในส่วนนี้ เรียงตามลำดับโครงเรื่องที่ปรากฏในสารบัญ ครอบคลุมตั้งแต่บทแรกถึงบทสุดท้าย ในหน้าแรกของเนื้อเรื่องไม่ต้องใส่เลขหน้าเว้นจากขอบบนของหน้ากระดาษลงมา 2 นิ้ว  ไว้กลางหน้ากระดาษ  ทุกครั้งที่ขึ้นบทใหม่ไม่ใส่เลขหน้าเฉพาะหน้านั้นแต่ให้นับหน้าด้วย การเว้นระยะจากขอบล่างขึ้นมา  ให้เว้น  1 นิ้ว  จากขอบซ้ายของหน้ากระดาษเข้ามาเว้น  1.5  นิ้ว  จากขอบขวาของหน้ากระดาษเข้ามา  เว้น  1 นิ้ว  ส่วนการย่อหน้าทุกครั้งให้เว้น 6  ช่วงตัวอักษร  เขียนตัวที่  7




บรรณานุกรม

บรรณานุกรม  หน้าบรรณานุกรมจะอยู่ต่อจากส่วนเนื้อเรื่อง   โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่นำมาอ้างอิงไว้ในรายงานได้แก่ ชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์  ชื่อบทความ  ชื่อหนังสือ  ครั้งที่พิมพ์  และสถานที่พิมพ์  เป็นต้น 


 จุดมุ่งหมายในการเขียนบรรณานุกรม

1.ทำให้รายงานนั้นเป็นรายงานที่มีเหตุผล มีสาระน่าเชื่่อถือ

2.เป็นการเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น

3.เป็นเเนวทางสำหรับผู้สนใจต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม

4.สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นำมาอ้างได้

 วิธีเขียนบรรณานุกรม

1.เขียนไว้ในส่วนท้ายของรายงาน

2.เขียนเรียงลำดับอักษรชื่อผู้เเต่ง ในกรณีที่มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้เขียนบรรณานุกรมภาษาไทยก่อน

3.บรรทัดแรกของบรรณานุกรมชิดด้านซ้ายที่เว้นจากขอบกระดาษเข้ามา 1.5 นิ้ว ถ้ายังไม่จบเมื่อขึ้นบรรทัดใหม่โดยย่อหน้าเข้าประมาณตัวอักษรของบรรทัดเเรก

4.รายละเอียดในโครงสร้างรูปเเบบบรรณานุกรมหนังสือ มีดังนี้

 1.โครงสร้างรูปเเบบบรรณานุกรมหนังสือ


  1.1. การอ้างถึงชื่อผู้เเต่ง
1.1.1.   ผู้เเต่งคนเดียว

 

 

1.1.2.   ผู้เเต่ง 2 คน ให้ใส่คำว่า "เเละ" เชื่อมระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2


1.1.3.   ผู้เเต่ง 3 คน ให้ใส่เครื่องหมายจุลภาคคั่นระหว่างคนที่ 1 กับคนที่ 2 และใส่คำว่า"เเละ" เชื่อมระหว่างคนที่ 2 กับคนที่ 3 


 1.1.4.    ผู้เเต่งตั้งเเต่ 3 คนขึ้นไป  ลงเฉพาะชื่อเเรก เเละตามด้วยคำว่า เเละคนอื่น ๆ 


1.1.5.    หนังสือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้เเต่ง  ให้ใช้ชื่อเรื่องเป็นรายการเเรกเเทนชื่อผู้เเต่ง



1.1.6.    ผู้เเต่งใช้นามเเฝง ให้ใช้นามเเฝงได้เลย



1.1.7.    หนังสือเเปล  ให้ใส่ชื่อ นามสกุลของผู้เเต่ง ก่อน ผู้เเปล



1.1.8.    ผู้เเต่งมีบรรดาศักดิ์ ให้ใส่ชื่อ นามสกุล ตามด้วยบรรณาศักดิ์



         1.2  รูปเเบบของบรรณานุกรมหนังสือ

รูปเเบบของบรรณานุกรม มี 2 เเบบ

           1.2.1. การอ้างอิงเเยกจากเนื้อหาอยู่ท้ายของรายงาน

               1)  การอ้างอิงเนื้อหาบางบท หรือ บางตอน ในหนังสือเล่มเดียวจบ ให้ใส่ชื่อบท หรือตอนใช้คำว่า"ใน"  ตามด้วยชื่อหนังสือ และระบุหน้า เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์

 

            2) การอ้างอิงเนื้อหาบางบท  หรือบางตอน ของหนังสือบางเล่มที่มีหลายเล่มจบ ใช้คำว่า "ใน" ตามด้วยชื่อหนังสือ ระบุเล่ม และหน้าตามด้วยเลยหน้าที่อ้างอิง เมืองที่พิมพ์  ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์


             3)  การอ้างดิงตลอดทุกเล่มที่มีหลายเล่มจบ ให้ระบุจำนวนเล่ม ตามด้วย เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์


               4) การอ้างดิงเพียงเล่มใดเล่มหนึ่ง ให้ระบุเล่มที่อ้างอิงตามด้วย เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์



1.2.2 การอ้างอิงเเทรกในเนื้อหา

              1) เมื่อต้องการจะเเทรกในเนื้อหาสามารถเเทรกวงเล็บพร้อมกับอ้างอิงได้ทันที เมื่อจบข้อความ

              1.1) รายการอ้างอิง ประกอบด้วย ชื่อ นามสกุลผู้เเต่ง  ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์  ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค หน้า/เลขหน้าที่อ้างอิง



              1.2) หากไม่มีชื่อผู้เเต่ง ให้ใช้ชื่อหน่วยงานเเต่ง  ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค ปีที่พิมพ์  ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค หน้า/เลขหน้าที่อ้างอิง


             1.3)  หากไม่ระบุปีที่พิมพ์ เเละเลขหน้า ให้ใช้ตัวอักษรย่อ  "ม.ป.ป." ย่อมาจากคำว่า ไม่ปรากฏเลขหน้า  และระบุคำว่า ไม่มีเลขหน้าลงไปได้เลย



                       2)  ถ้าระบุชื่อผู้แต่งลงในเนื้อหาแล้วอ้างต่อทันทีในวงเล็บ  ไม่จำเป็นต้องระบุ ชื่อผู้แต่งซ้ำอีก


ยกเว้นผู้แต่งเป็นชาวต่างชาติ

3)  การอ้างถึงเอกสารที่ไม่สามารถค้นหาต้นฉบับจริงได้  ให้อ้างจากเล่มที่พบ  ใช้คำว่า  “อ้างถึงใน”  หากเป็นบทวิจารณ์  ใช้คำว่า  “วิจารณ์ใน


  4)  การอ้างถึงเฉพาะบท  ใช้คำว่า  “บทที่

5)  การอ้างถึงตาราง  ในเนื้อหา  ใช้คำว่า  “ดูตารางที่”  การอ้างถึงภาพในเนื้อหา  ใช้คำว่า  “ดูภาพที่


 2. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมวารสาร

  2.1  การเขียนบรรณานุกรมจากบทความในวารสาร  มีปีที่  และฉบับที่

 

2.2  บทความในวารสาร  ที่ไม่มีปีที่  ออกต่อเนื่องทั้งปี

3. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือพิมพ์


3.1  การเขียนบรรณานุกรมบทความในหนังสือพิมพ์

3.2  การเขียนบรรณานุกรมข่าวจากหนังสือพิมพ์  ให้เขียนหัวข่าว


3.3  การเขียนบรรณานุกรมจากคอลัมน์จากหนังสือพิมพ์

4. รูปแบบบรรณานุกรมเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ระบบออนไลน์  (Online) หรืออินเทอร์เน็ต

4.1  เว็บเพจ มีผู้เขียน  หรือมีหน่วยงานรับผิดชอบ


4.2  เว็บเพจไม่ปรากฏผู้เขียน  และปีที่จัดทำ ใส่  ม.ป.ป.  (ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)





ขอขอบคุณข้อมูล    

การเขียนรายงาน( ม ป ป) 

 จากว็บไซต์    http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit6_part16.htm 

(วันที่ค้นข้อมูล 23 กันยายน  2556 )

   การเขียนบรรณานุกรม

จากว็บไซต์   http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit5_part13.htm

(วันที่ค้นข้อมูล 23 กันยายน  2556 )


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น